Customer Reviews

ละครแห่งชีวิต
5
อ่านเพลินมาก สนุกสนาน งดงาม ขมขื่น เจ็บปวด สมกับชื่อเรื่องจริงๆ
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 16 มีนาคม พ.ศ. 2558

ละครแห่งชีวิต เล่มนี้อ่านเพลินมาก สนุกสนาน งดงาม ขมขื่น เจ็บปวด สมกับชื่อเรื่องจริงๆ สำนวนภาษาอาจเก่า บางคำสะกดแบบโบราณ แต่อาจแล้วไม่สะดุดเท่าไหร่ เพราะความหมายก็เข้าใจกันได้อยู่ดี

เรื่องราวชีวิตสุดแสนจะดราม่าของคุณวิสูตร์ ผู้เกิดมาในตระกูลร่ำรวย ทว่าตนเองกลับถูกชะตากลั่นแกล้งให้เป็นเหมือนส่วนเกินของบ้าน เป็นลูกชังที่บิดาไม่เหลียวแล และต้องฝ่าฟันชีวิตลำบากด้วยตนเอง แต่นั่น กลับกลายเป็นโอกาสของเขา โอกาสที่หลายคนไม่ได้พบ ไม่ได้เห็น...น้ำใจจริงๆ ของเพื่อนร่วมโลก บางคนที่เห็นว่าดี เชิดชูบูชา รักกันปานจะกลืน ท้ายที่สุด กลับทิ้งกันไปง่ายๆ ราวกับวันเวลาที่ผ่านมาไม่เคยมีความหมาย หรืออย่างน้อย ก็ไม่ได้มีความหมายมากไปกว่าเงินทอง หรือฐานะทางสังคม บางฉาก บางความสัมพันธ์ที่ต้องสะบั้นลง เราก็ร่วมเสียใจไปกับคุณวิสูตร์ไม่น้อยเลย

ชีวิตมีลงก็ต้องมีขึ้น มีร้ายก็ต้องมีดี เมื่อร้ายสุดๆ ก็สามารถดีสุดๆ ได้ เมื่อตกต่ำสุดๆ ก็สามารถทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดได้เช่นกัน อยู่ที่ว่าเราจะเลือกเดินทางไหน จะทำตัวยังไง มองโลกด้วยสายตาอย่างไร

เราได้กำลังใจจากการดูละครของคุณวิสูตร์หลายข้อเลย และแอบคิดว่า หนังสือเล่มนี้ ดียิ่งกว่าหนังสือเดินทางเล่มไหนๆ เพราะไม่เพียงสามารถอธิบายให้เราอยากออกเดินทางไปยังที่ต่างๆ ได้โดยไม่ต้องมีภาพถ่าบของที่นั้นๆ มาโชว์แม้แต่ภาพเดียวแล้ว ยังทำให้เราตั้งคำถามกับตัวเอง และคิดจะหาคำตอบนั้นอย่างจริงจัง

ละครอะไรจะไปสนุกเท่าละครแห่งชีวิต แต่ก็อย่างว่าล่ะเนอะ ดูละครของคนอื่น เราก็ได้แค่ดู จะสนุกแค่ไหน ก็ไม่ใช่ละครของเรา เพราะฉะนั้น เขาถึงบอกว่า อย่าลืมย้อนดูตัวเองด้วย

เราชอบบทสนทนาหนึ่งในเล่มนี้ ขอยกมาไว้พอหอมปากหอมคอละกัน

"คุณวิสูตร์" จุไรพูดกับข้าพเจ้าวันหนึ่งที่ระเบียงหน้าสถานทูต "เธอก็ได้เห็นโลกมามากแล้ว เคยเป็นผู้สืบข่าวหนังสือพิมพ์ เธอรู้สึกว่าชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง สนุกไหม?"

"ชีวิตเป็นสิ่งที่จะเรียนได้ไม่สิ้นสุด จุไร" ข้าพเจ้าตอบ "ยิ่งได้เห็นโลกมากดูเหมือนว่ารู้จักชีวิตน้อยเข้าทุกที"

"เศร้าหรือคะ?" หล่อนถามพลางจ้องดูข้าพเจ้าด้วยแววเนตรอันเต็มไปด้วยความอ่อนหวาน

"เศร้า_"
5
เหมาะสำหรับทุกคนที่เห็นคุณค่าของทรัพย์สินทางปัญญา
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 05 มีนาคม พ.ศ. 2558

คัมภีร์ลิขสิทธิ์ เล่มนี้รวบรวมคำถามที่สำคัญๆ เกี่ยวกับกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา ว่าด้วยลิขสิทธิ์ล้วนๆ เลย ซึ่งเป็นประโยชน์มาก เป็นการตอบคำถามในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันจริงๆ คือเป็นสถานการณ์ที่มักเกิดขึ้นจริง ไม่ใช่แค่การอธิบายตัวบทกฎหมายหรือการเขียนถึงหลักการทั่วไป ซึ่งในชีวิตจริงอาจเจอบ้างหรือไม่เจอบ้าง

เราใช้เล่มนี้เป็นคู่มือในการประมวลความคิดสำหรับโจทย์ที่เจอจริงๆ อันนี้ไม่ใช่แค่การอ่านเพื่อสอบนะ (แต่ถ้าจะอ่านเพื่อสอบก็ได้ มีหลักกฎหมายอธิบายไว้ชัดเจน แต่อาจไม่ตรงกับแนวข้อสอบของสถาบันใดมากนัก ข้อสอบกฎหมายส่วนใหญ่ออกตามหลักการในหนังสือ ซึ่งจะกว้างกว่าที่หนังสือเล่มนี้เขียนถึง แต่พูดถึงเรื่องประโยชน์ในการนำไปใช้งาน เล่มนี้ใช้งานได้รวดเร็วกว่า) เราอ่านเล่มนี้วัดความรู้ควบคู่ไปกับการอ่านและทำความเข้าใจหลักกฎหมาย ซึ่งตอนที่เราไปอบรมกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาขั้นสูง ซึ่งมีการสอบวัดผลด้วย หนังสือเล่มนี้ช่วยเราได้เยอะเลย

เหมาะสำหรับทุกคนที่เห็นคุณค่าของทรัพย์สินทางปัญญา ความจริงเมืองไทยเรายังต้องปรับปรุงเรื่องนี้กันอีกมาก การลอกงานยังมีกันมากมายโจ่งครึ่ม เจ้าของผลงาน เจ้าของลิขสิทธิ์ปล่อยเลยตามเลยบ้าง หรือคนลอกหน้าด้านหน้าทนเกินไปบ้าง แต่ก็น่าดีใจนะที่เริ่มมีกระแสตื่นตัวในการหวงแหนทรัพย์สินทางปัญญาของตนเอง และเริ่มเคารพสิทธิของผู้อื่นมากขึ้นบ้าง จากกรณีดราม่าลอกเลียนแบบทั้งหลายที่เป็นเรื่องเป็นราวกันไปหลายกรณี เล่มนี้จะเป็นผู้ช่วยที่ดีที่ทำให้เรารู้จักป้องกันตัวเอง ทั้งไม่ให้ใครมาลอกหรือขโมยงานอันเกิดจากความคิดอันเหนื่อยยากของเรา และป้องกันไม่ให้เราเผลอไปละเมิดสิทธิของคนอื่นเข้าโดยอาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ชาร์ล็อตต์ แมงมุมเพื่อนรัก (ฉบับปกแข็ง)
5
เป็นวรรณกรรมที่เด็กทุกคนน่าจะได้อ่าน
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 05 มีนาคม พ.ศ. 2558

ชาร์ล็อตต์ แมงมุมเพื่อนรัก เล่มนี้เราได้อ่านเมื่อนานมามากแล้ว นานจนจำเกือบไม่ได้ว่าอ่านไปเมื่อตอนอายุเท่าไหร่ ฮ่าๆ แต่ถึงจะจำช่วงเวลาไม่ได้ เนื้อหาและความประทับใจที่ฝังแน่น ก็ยังไม่อาจลบเลือนเลย เล่มนี้เป็นวรรณกรรมที่เด็กทุกคนน่าจะได้อ่าน (ของเราที่ได้อ่านเพราะเป็นหนังสืออ่านนอกเวลา จำระดับชั้นไม่ได้ละ) ถ้าเด็กได้อ่านหนังสือสนุกๆ แบบนี้เรื่อยๆ เราเชื่อจริงๆ ว่า การรักการอ่านจะต้องบังเกิด อย่ามัวไปบังคับให้เขาอ่านแต่หนังสือตำราเรียนเคร่งเครียด ให้เขาอ่านอะไรที่มันสร้างสรรค์ สนุกสนานแต่สอดแทรกแง่คิดเบาๆ ไว้ นั่นน่าจะเหมาะกว่า

แมงมุมเพื่อนรัก ความรักความผูกพันระหว่างเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายในฟาร์ม โดยเฉพาะหมูกับแมงมุมน่ะนะ เราไม่แน่ใจว่าเคยมีการเอาเรื่องนี้มาสร้างเป็นภาพยนตร์ไหม แต่คุ้นๆ ว่ามีนะ เราชอบจินตนาการ ชอบความสัมพันธ์ระหว่างสัตว์ที่มีทั้งลักษณะนิสัยและธรรมชาติที่ต่างกัน มีการปฏิสัมพันธ์เรียนรู้ซึ่งกันและกัน และเกิดความผูกพันที่น่าประทับใจขึ้น

ถ้าจะมีอะไรที่เราไม่ชอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็คงเป็นตอนจบที่มันเศร้าเกินไปสำหรับเด็กๆ นั่นแหละ (ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมวรรณกรรมเยาวชนระดับโลกจะต้องเป็นเรื่องเศร้าๆ ด้วยนะ) คือเราก็เด็กไทย ชอบแฮปปี้เอ็นดิ้งอ่ะ ไม่อยากให้มีการจากลา ไม่อยากให้มีใครตาย โดยเฉพาะตัวละครที่เรารัก...อืม เหล่านี้เป็นอารมณ์ตอนที่เราอ่านเมื่อครั้งยังเป็นเด็กน่ะ ถ้ามาอ่านอีกทีตอนนี้ คงเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาสามัญไปแหละ อ่านจบก็พับเก็บไว้ในใจ เป็นเรื่องหนึ่งที่ชื่นชอบก็เท่านั้น แต่มันดันเผอิญว่า เราได้อ่านก็ตอนที่เป็นเด็กโลกสวยนี่แหละ ฮ่าๆ

ชอบ ว่างๆ จะหามาอ่านอีก เป็นวรรณกรรมในความทรงจำเสมอมา
เจ้าหงิญ
4
ไม่ใช่แค่การอ่านตัวหนังสือ แต่ต้องอ่านระหว่างบรรทัด อ่านในสิ่งที่มองไม่เห็นด้วย
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 05 มีนาคม พ.ศ. 2558

เจ้าหงิญ โอ๊ย เล่มนี้ เป็นเวรเป็นกรรมของเรามากที่ไปอ่านตอนที่ยังเด็กๆ สกิลการอ่านยังง่อยๆ การตีความยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร ทำให้ทั้งการรับสารและอรรถรสในการอ่านหายไปเยอะ กลายเป็นหนังสืออีกเล่มที่เราเกือบจะชิงชังตอนนั้นน่ะนะ เพราะมันเข้าถึงยาก เพราะมันตีความยาก บางเรื่องเราอ่านจบแล้วกลับเกิดคำถามว่า...ต้องการจะสื่ออะไร เรารู้สึกว่าบินหลา สันกาลาคีรี ไม่ใช่นักเขียนนิทานเด็ก เขาคือนักเขียนเรื่องสั้น และเรื่องสั้นของเขา เสพผ่านๆ ไม่ได้ ตามมีตามเกิดไม่ได้

หนังสือของบินหลา ส่วนใหญ่จะลึกซึ้ง ผ่านกระบวนการคิดมาแล้วหลายตลบ เน้นการเดินนำคนอ่าน คือเราเคยไปเข้าค่ายนักเขียนกับมติชน แล้วพี่ต้อ บินหลาไปเป็นวิทยากร เราเลยเข้าใจงานเขียนของเขามากขึ้น (ก็ตอนนั้นเอง) คือพอเรารู้กระบวนวิธีคิดของเขา รู้ขั้นตอนว่ากว่าจะได้ออกมาเรื่องหนึ่ง คนๆ หนึ่งมีแนวคิดยังไงที่จะสื่อความหมายของสารที่ตัวเองปั้นขึ้นมา คือนักเขียนบางคน อยากเขียนให้คนอ่านสนุก เดินเคียงข้างกันไป หรือบางคน อยากเดินนำคนอ่านพอเป็นพิธี เว้นที่ไม่ให้กว้างเกินไปจนคนอ่านเข้าไม่ถึง คือให้มีการแฝงความนัยอบางอย่าง ให้คนอ่านได้ใช้กระบวนการคิดบ้างเพื่อการเข้าถึงและเข้าใจจริงๆ แต่นักเขียนบางคน ก็อยากฉลาด ให้คนอ่านรู้สึกว่า ยิ่งอ่านแล้วเข้าไม่ถึง คนเขียนยิ่งฉลาด หรือถ้าคนอ่านเข้าถึง คนอ่านคนนั้นก็จะต้องรู้สึกว่า ตัวเองฉลาดมาก เราไม่อยากจะฟันธงว่าบินหลาเป็นนักเขียนประเภทไหน อันนี้คงต้องแล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล

การอ่านหนังสือของบินหลา จะต้องไม่ใช่แค่การอ่านตัวหนังสือ แต่ต้องอ่านระหว่างบรรทัด อ่านในสิ่งที่มองไม่เห็นด้วย มันท้าทายนะ ก็เพราะกระบวนการเขียนออกมามันยาก ซับซ้อน คิดแล้วคิดอีกหลายตลบ ดังนั้น กระบวนการอ่านเพื่อเข้าถึง ก็อาจต้องใช้สกิลที่ใกล้เคียงกันหน่อย แต่นั่นคือการอ่านแล้วตีความ หาสารที่แท้จริงที่ต้องการจะสื่อ ซึ่งบางทีมันไม่จำเป็นหรอก เอาแค่ว่าสนุกหรือไม่สนุกก็พอ

โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี ภาค 1 (วรากรณ์ สามโกเศศ)
5
สนุก ได้ความรู้ ทำเรื่องยากๆ ให้เป็นง่ายๆ ทำเรื่องน่าเบื่อ (สำหรับบางคน) ให้กลายเป็นเรื่องสนุกสนานได้อย่างน่าทึ่ง
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 01 มีนาคม พ.ศ. 2558

โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี เล่ม 1 เล่มนี้เราอ่านตั้งแต่เรียนปี 1 มหาวิทยาลัย ความจริงเราไม่ชอบเลยเรื่องหลักการเศรษฐศาสตร์ เรื่องการเงิน บัญชี หรืออะไรที่มันมีทฤษฎีเยอะๆ มาอธิบาย แต่โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี ของ วรากรณ์ สามโกเศศ ทำให้เราสนใจเศรษฐศาสตร์ และเข้าใจมันได้มากขึ้น เปลี่ยนทัศนคติที่ไม่ดีต่อเนื้อหาวิชานี้ไปเลย

ดร. วรากรณ์ สามโกเศศ เป็นคนอัจฉริยะมากเลยนะในการย่อยข้อมูล และทำเรื่องยากๆ ให้เป็นง่ายๆ ทำเรื่องน่าเบื่อ (สำหรับเราน่ะนะ) ให้กลายเป็นเรื่องสนุกสนานได้ ติดตามอ่านได้ รู้สึกชอบและอิน เกิดการคิดต่อยอดได้ เข้าใจกระบวนการ หลักการและเหตุผลของแต่ละถ้อยคำในเชิงเศรษฐศาสตร์ได้ อารมณ์คล้ายๆ ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ ของหนุ่มเมืองจันท์ แต่เราว่าชุดโลกนี้ไม่มีอะไรฟรีนี่เทพกว่า เป็นสกิลขั้นกว่าเพราะเป็นการเอาหลักวิชาการ เอาสถานการณ์รอบตัวมาวิเคราะห์ แล้วย่อยออกมาอธิบายให้คนทั่วไปเข้าใจได้ คนทั่วไปของเราหมายถึง คนที่ไม่ได้เรียนเศรษฐศาสตร์ หรือแม้กระทั่งคนที่ไม่เคยจะเข้าใจหลักการทางเศรษฐศาสตร์เลยก็ตาม (แต่ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ เป็นการย่อยสิ่งที่ย่อยแล้วอีกที คือเจ้าของประสบการณ์เล่าสู่กันฟัง แล้วพี่ตุ้ม หนุ่มเมืองจันท์ก็หยิบเอามาเล่าในสไตล์ตัวเองอีกที เนื้อหามันคือประสบการณ์ตรง เป็นเรื่องราวเข้าใจง่าย ไม่ใช่หลักการทางวิชาการหนักๆ)

และเอาจริงๆ นะ ตอนเราปีหนึ่งแล้วอ่านหนังสือเล่มนี้ คำว่า "โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี” มีความหมายเปลี่ยนไปเยอะเลย คือมันเป็นการอธิบายคำนี้ในอีกมุมหนึ่ง มุมที่เป็นเหตุเป็นผลทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งเมื่อก่อนเราเข้าใจแค่ในมุมของความต้องการของมนุษย์ มุมของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ว่าไม่มีใครหรืออะไรหรอกที่เราจะได้มาฟรีๆ ซึ่งความเข้าใจแบบนั้น มันสามารถหักล้างได้ไง เมื่อมีคนให้อะไรเราจริงๆ หรือเราได้อะไรมาโดยที่ (คิดเอาเอง) ว่าไม่ต้องเสียอะไรไป แต่วรากรณ์ สามโกเศศ ทำให้เราไม่สามารถหักล้างคำนี้ได้อีกเลยเมื่อมองในมุมของเศรษฐศาสตร์ แม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ ที่เราคิดว่ามันฟรี มันก็ไม่ฟรีจริงๆ แฮะ

สนุก ได้ความรู้ ได้ก้อนความคิดเอาไปต่อยอด ชอบมากค่ะ
ร้านชำสำหรับคนอยากตาย
3
พล็อตแปลก พิสดาร และสดใหม่ ดึงดูดให้เราตื่นเต้นตามไปด้วย
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 01 มีนาคม พ.ศ. 2558

ร้านชำสำหรับคนอยากตาย เรื่องนี้อยู่ในความทรงจำของเราเสมอ แม้ว่าจะอ่านนานมาแล้วก็ตาม เป็นหนังสือที่พล็อตแปลก พิสดาร และสดใหม่ ดึงดูดให้เราตื่นเต้นตามไปด้วย ตลกร้ายแบบที่ได้แต่หัวเราะหึหึในลำคอ และเจ็บปวดไปกับบางอย่าง ไม่รู้จะเรียกว่าโชคชะตาของตัวละครได้หรือเปล่าน่ะนะ แต่ถ้าถามภาพรวมว่าเราชอบไหม ตอบได้รวดเร็วมากว่า ไม่ชอบเลย ไม่รู้สินะ เราอาจไม่ถูกชะตากับหนังสืออารมณ์อย่างนี้ หรือบางประเด็นที่หนังสือเล่มนี้หยิบมาเล่นก็เป็นได้

อันที่จริง ต้องบอกว่า เราซึ่งเป็นคนไทย มีค่านิยมอย่างหนึ่ง อาจไม่คุ้นชิน ไม่อินกับสภาวการณ์ของอีกประเทศซึ่งอยู่ห่างไกล วัฒนธรรมหรือค่านิยมที่แตกต่างทำให้เราสัมผัสความสนุกได้ เจ็บปวดได้เฉพาะกับเรื่องที่เป็นหลักสากล แต่ไม่ค่อยอินกับเรื่องภายในประเทศ เช่น คนฝรั่งเศสมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงซึ่งถือเป็นปัญหาสังคมหนักๆ อันเป็นเหตุให้ผู้เขียน ฌอง เติลเล่ หยิบเรื่องนี้มาเล่น ตามประสานักเขียนนักหนังสือพิมพ์ที่เห็นข่าว เห็นความเป็นไปของสังคมอยู่ตลอดเวลา

พูดถึงสำนวนการแปลของหนังสือเล่มนี้ ไม่ผิดหวังหรอก อ่านได้สบายแฮ สนุกสนานกันไปตามคอนเซ็ปต์สำนักพิมพ์ฟรีฟอร์ม

สรุปคือ เรื่องการตีความ ชอบหรือไม่ชอบประเด็นไหน อินไหม ตลกไหม นั่นคงเป็นเรื่องของรสนิยมและความเห็นส่วนตัวน่ะเนอะ แต่เรื่องสำนวนการเขียน การแปล ไม่มีปัญหาค่ะ เชิญเสพกันได้
หางกระดิกหมา
5
แซบมาก สนุกมาก แสบทรวง และเจ็บจี๊ดมากๆ
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

หางกระดิกหมา เล่มนี้ขอบอกว่าแซบมาก สนุกมาก แสบทรวง และเจ็บจี๊ด ตีแผ่กลโกงและเทคนิคขั้นเทพของบรรดาผู้มีอำนาจ (ใช้เงินของประชาชน) อธิบายตั้งแต่กมลสันดานของผู้คน ทำไมคนไทยถึงยอมให้มีคนโกง หากว่าคนพวกนั้นทำประโยชน์ให้ได้ ทำไมแต่ละโปรเจคส์โครงการ โดยเฉพาะอภิมหาโปรเจคส์ทั้งหลายถึงสามารถทำได้ โกงกันได้ซึ่งๆ หน้าโดยคนทำไม่ต้องรับผิดใดๆ เลย

เทคนิค ได้กระจุกเสียกระจาย คือคำอธิบายที่ทำให้เราเห็นภาพชัดเจนที่สุด และยังมีการโกงในรูปแบบต่างๆ ที่เราเองก็นึกไม่ถึงว่า เออเว้ย นี่มันก็ไม่ถูกนี่หว่า แต่กลายเป็นว่า เราเห็นจนชินตา และนึกว่ามันทำได้ซะอีก ยกตัวอย่างเช่น การขึ้นป้ายโฆษณาใหญ่ๆ สวัสดีปีใหม่บ้างล่ะ แสดงความยินดีบ้างล่ะ ขอขอบคุณบ้างล่ะ โดยที่เงินนั้นคือเงินหลวง เออ นี่มันเอาเงินหลวงมาเป็นงบโฆษณาตัวเอง ซึ่งอันที่จริงทำไม่ได้ (แต่เราเองที่เห็นบ่อยมากๆ ตั้งแต่เล็กจนโต คิดว่าทำได้ซะอีก หึหึ)

บรรยง พงษ์พาณิช คือคนที่เราติดตามและชอบในแนวความคิดของเขามาก (ไม่รู้หรอกนะว่าสิ่งที่เขาคิด สิ่งที่เขาพูด กับสิ่งที่เขาทำ มันเป็นสิ่งเดียวกันไหม แต่แค่เขาคิดต่อต้านคอร์รัปชั่น พูดเปิดโปงเทคนิคการทำชั่วเหล่านี้ให้คนทั่วไปรับทราบและร่วมกันตระหนัก เราว่าเขาก็ได้ทำดี ได้ทำประโยชนืเพื่อสังคมในระดับหนึ่งแล้วล่ะ ส่วนเบื้องหลังจะเป็นเหมือนในละครที่ตัวร้ายฉาบหน้าด้วยความดีไหม นั่นก็เป็นอีกเรื่องเนอะ เราไม่อาจรู้ได้) ถ้าติดตามเฟสบุ๊คของเขา เราจะเจอเรื่องเด็ดๆ เผ็ดๆ ร้อนๆ อีกเยอะแยะเลย กระนั้น ก็ต้องทำใจยอมรับความเหี่ยวเฉาด้วย เหี่ยวเฉาเพราะละเหี่ยใจ ประเทศไทยเราเมื่อไหร่จะหลุดพ้นจากวงจรเหล่านี้เสียที
5
อ่านได้ไม่รู้เบื่อ และทำให้เราอบอุ่นหัวใจเสมอ
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ปรัชญาชีวิต (The Prophet) งานเขียนอมตะของ คาลิล ยิบราน เล่มนี้ ไม่หนามาก ไม่ใหญ่มาก แต่อบอุ่นหัวใจมาก บางถ้อยคำทำให้เราเกิดแสงสว่างในขณะที่กำลังหลงทางอยู่ในความมืดหม่น บางคำถามที่หาคำตอบไม่เจอ เล่มนี้ช่วยได้ ถึงจะไม่ขนาดเอาคำตอบมาประเคนใส่ปากให้ แต่ก็ช่วยเปิดทาง ให้เราสงบ และค้นพบคำตอบของตัวเองมากขึ้น

อันที่จริง หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่สูตรสำเร็จตายตัว ว่าชีวิตจะต้องดำเนินไปตามครรลองนี้แต่เพียงอย่างเดียว ถึงจะมีความสุข แต่แค่คนส่วนใหญ่ รวมถึงเราด้วย ถือว่าเป็นหนทางที่ดี และเอามาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับตัวเองมากที่สุด เป็นสูตรของตัวเอง

ในหนังสือกล่าวถึงหลายเรื่อง หลายหัวข้อ แต่เรื่องที่เราชอบมากที่สุดคือ เรื่องความรัก (และคิดว่าหลายคนก็เป็นอย่างนั้น เห็นโควทคำออกมามีแต่เรื่องความรักทั้งนั้น) โดยเฉพาะเรื่องขนมปังนี่แหละ เรื่องความชิดใกล้ของคนรัก เราควรจะเป็นตัวเรา เขาควรจะมีพื้นที่ของเขา ความรักคือการเปิดพื้นที่ใหม่ให้เราสองคนได้เข้ามาร่วมสร้างไปด้วยกัน แต่ไม่ใช่การผูกมัดกันไปทุกอณู ประเด็นนี้เองที่ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ และภาพยนตร์ก็สื่อความหมายออกมาได้ชัดเจนมาก

เป็นหนังสืออีกเล่มที่มีไว้ข้างกาย อ่านได้ไม่รู้เบื่อ ยามว่างๆ นอนเปล ฟังเสียงน้ำไหล มีลมพัดเอื่อย ละเลียดอ่านชิลๆ วันนั้นจะเป็นวันที่ฟินมาก
ข้างหลังภาพ
4
หลากหลายอารมณ์ รัก เศร้า เหงา ซึ้ง
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ข้างหลังภาพ เราไม่ได้ดูหนัง อ่านแต่หนังสือ รู้สึกว่ามีภาพนพพรกับคุณหญิงอยู่ในหัวเป็นของตัวเอง ก็ใกล้เคียงกับเคน ธีรเดชอยู่นะ แต่ไม่สุด (ไม่ใช่ไรหรอก แค่ตอนที่หนังเข้าโรงนั้นเรายังไม่ใช่มนุษย์ดูหนัง ก็เท่านั้นเอง เอิ้กๆ) ในหนังเป็นไงไม่รู้ แต่ในหนังสือ เราสงสารคุณหญิงมากๆ

เรื่องราวของเด็กหนุ่มกับหญิงสาวสูงวัยที่ดูสูงส่ง ชีวิตมีพร้อมทุกอย่าง ยกเว้น ความสุข เด็กหนุ่มตกหลุมรัก ความรักในช่วงวัยหนุ่มที่ร้อนรุ่ม ร้อนแรง อัดแน่นอยู่ในอก ระบายออกมาผ่านถ้อยคำมากมายที่คุณหญิงผู้ผ่านโลกมามากมายรู้ดีว่า ความรู้สึกวาบหวามในใจของเด็กหนุ่ม สักวันก็อาจจะหายไป แล้วมันก็หายไปจริงๆ วันที่คุณหญิงรู้สึกว่านพพรเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในหัวใจ เด็กหนุ่มกลับไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว การเปลี่ยนไปของใครคนหนึ่ง กระทบกระเทือนถึงจิตใจของใครอีกคนเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเปลี่ยนแปลงของคนที่เรารัก

ในหนังสือนั้น อารมณ์มาเต็ม บรรยากาศของหนังสือทำให้ภาพในหัวของเรามีหลากหลายอารมณ์ รัก เศร้า เหงา ผิดหวัง เสียใจ หรือแม้กระทั่งบั้นปลายชีวิตของคุณหญิงที่มันหดหู่เหลือเกิน เราก็รู้สึกได้ราวกับอยู่ในเหตุการณ์ ไม่สิ ราวกับเป็นคุณหญิงเสียเอง

ข้างหลังภาพ มีอะไรมากมายให้เราค้นหา และร่วมเดินทางไปกับเรื่องราวความธรรมดา สิ่งธรรมดา สัจธรรมความรักที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ เคยรักเราหัวปักหัวปำ แล้ววันหนึ่งก็เลิกรัก เคยหวานซึ้งกินใจ แล้ววันหนึ่งก็หายไปราวกับไม่เคยแทบตายเพราะรักเรา เรื่องราวมันก็น่าเศร้าอย่างนี้นี่เอง
พันธุ์หมาบ้า
5
สนุกสนาน มันส์ ฮา และเศร้าสลด
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

พันธุ์หมาบ้า เล่มนี้ สนุกสนาน มันส์ ฮา และเศร้าสลด

สนุกสนานเพราะเป็นเรื่องราวของตัวละครในช่วงวัยที่ชีวิตมีแต่ความสนุกสนาน เป็นชีวิตที่หลุดโลก ทำอะไรบ้าๆ บอๆ ตามชื่อเรื่องนั่นแหละ เพราะความสดใสของวัย จึงทำให้เรื่องราวสนุกสนานเกิดขึ้น เพราะตัวละครแต่ละตัวโดยฝีมือของผู้เขียน ทำให้ความสดใสดูสมจริง แต่ละคนมีบุคลิกเป็นของตัวเองจริงๆ เล็กฮิปหรือตัวละครอื่นๆ ก็มีตัวตนจริงๆ นั่นยิ่งทำให้ความสนุกสนานเหล่านี้มีความตื่นเต้นมากขึ้น เรื่องราวชีวิตของแต่ละคน มองในมุมคนที่ต้องเจอ บางทีมันก็ไม่ขำหรอก แต่คนเราก็นะ มักจะเล่าเรื่องดราม่าๆ ให้เป็นเรื่องขำๆ ได้เสมอแหละ ตราบที่เราอยากจะทำให้มันเป็น

มันส์ และพิสดาร ตัวละครตกรถไฟแต่ไม่ตายบ้าง ตัวละครทำอะไรบ้าระห่ำบ้าง ตัวละครคิดอะไรนอกกรอบ ลงมือทำอะไรแบบที่คนอื่นเขาไม่ทำกันบ้าง นี่คือความสดใหม่ของชีวิต บางทีเราอาจลืมเลือนไป หรือบางคน อาจไม่เคยผ่านชีวิตอย่างนั้นเลยสักนิด ไม่เคยเฉียดเข้าใกล้เลยสักหน่อย เราว่าอย่างนั้นน่ะ น่าเสียดาย ชีวิตมันต้องใช้นี่นา

เศร้าสลด บางฉากที่เกิดผลเรียกน้ำตา ความตายของตัวละครบางตัวเพื่อบูชาอะไรสักอย่าง โดยเฉพาะมิตรภาพ ทำให้เราสะเทือนใจและรู้สึกเศร้าไปกับความตายเหล่านั้น เรื่องราวสะเทือนใจของตัวละคร เรียกน้ำตาประหนึ่งเป็นเรื่องราวสะเทือนใจของเราเอง แน่นอน ฝีมือระดับ ชาติ กอบจิตติ ทำให้เรารู้สึกเช่นนั้นได้เสมอ

รวมแล้ว พันธุ์หมาบ้า เป็นวรรณกรรมไทยอีกเล่มที่ไม่ควรพลาด ไม่ใช่เพราะมันถูกสร้างขึ้นโดยนักเขียนซีไรต์มือเทพ แต่เพราะมันคือรุ่งอรุณแห่งชีวิต คือส่วนเติมเต็มด้านบ้าๆ ที่เราทุกคนต่างมี แต่ไม่ใช่เราทุกคนที่จะได้ลิ้มลองด้วยตัวเอง มันต้องคนบ้า คนกล้า เป็นพันธุ์หมาบ้าเท่านั้นที่จะทำได้
เพื่อนยาก (สนพ.สามัญชน)
5
ถึงแม้เราจะรู้ว่างานของเขาสร้างความหดหู่เพียงใดหลังอ่านจบ เราก็ยังอยากจะอ่านงานของเขา เนื่องเพราะแม้จะหดหู่ แต่มันก็สวยงาม
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เพื่อนยาก เป็นหนังสืออีกเล่มที่สร้างความสะเทือนใจ เรื่องราวของสองเพื่อนรักที่ชะตากรรมชีวิตช่างโหดร้าย คนหนึ่งที่คล้ายไม่เต็มเต็ง ได้รับการดูแลปกป้องจากอีกคน จนเมื่อวันหนึ่งที่เพื่อนผู้ไม่เต็มพลาดพลั้งก่อเรื่องร้ายแรง ผลที่ตามมาคือการถูกรุมยำจนอาจถึงตาย คนพวกนั้นต้องเอามันตายแน่ๆ แล้วก็กลายเป็นเพื่อนรักต้องหักใครทำให้เพื่อนตายอย่างทรมานน้อยที่สุด

มันสะเทือนใจเพราะมิตรภาพของเพื่อนที่มีต่อเพื่อน แม้ในบางจุดเราจะยังไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำว่าที่เพื่อนต้องฆ่าเพื่อน เป็นเพราะทำเพื่อเพื่อน หรือแท้แล้ว เป็นเพราะทำเพื่อตัวเอง อันนั้นคงต้องแล้วแต่การตีความของแต่ละบุคคล แต่สำหรับเรา (ก็เป็นมนุษย์มองโลกในแง่งามน่ะนะ ฮ่าๆๆ) เพื่อนยอมฆ่าเพื่อน มันเจ็บปวดนะ แต่คงเจ็บมากกว่าที่จะต้องเห็นเพื่อนตายคาตีนคนอื่น ตายอย่างทรมาน

และความสะเทือนใจยังเกิดมาจากความไร้เดียงสา (เราใช้คำนี้เพราะไม่รู้จะอธิบายด้วยคำไหนดี) คนไม่เต็มเต็ง ปัญญาอ่อน จะว่าอย่างนั้นก็ได้ มีไม่กี่สิ่งที่เขาให้ความสนใจ เขาไม่เป็นพิษเป็นภัย ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ ทั้งนั้น ชะตากลับกลั่นแกล้งให้ต้องกลายมาเป็นฆาตกร ให้กลายมาเป็นบุคคลน่ากลัวที่คนในสังคมปล่อยไว้ไม่ได้ ต้องกำจัดให้สิ้นซาก

บางทีโลกมันก็โหดร้ายอย่างนี้เอง งานของ จอห์น สไตน์เบ็ก เล่นกับความรู้สึกของคน เล่นกับด้านมืด ความยากจนข้นแค้น ชะตากรรมมนุษย์ที่โหดร้ายทารุณและมีความสวยงามที่เจ็บปวด เขาทำออกมาได้ดีเสมอ และถึงแม้เราจะรู้ว่างานของเขาสร้างความหดหู่เพียงใดหลังอ่านจบ เราก็ยังอยากจะอ่านงานของเขา เนื่องเพราะแม้จะหดหู่ แต่มันก็สวยงาม
โลกของโซฟี
4
เป็นหนังสือปรัชญาที่สนุก ดึงดูดให้เราสนใจมากกว่าการอ่านตำราเพียงอย่างเดียว
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

โลกของโซฟี เล่มนี้เราได้อ่านตอนเรียนมหาวิทยาลัย ชั้นปี 1 ซึ่งเป็นชั้นปีที่เราต้องเรียนวิชาพื้นฐาน พวกการเมืองและสังคม จิตวิทยา รวมถึงปรัชญาต่างๆ ด้วย โลกของโซฟีคือหนังสืออ่านนอกเวลาของเพื่อนเรา หมายความว่า เป็นหนังสือที่เพื่อนเราต้องอ่าน (เรากับเพื่อนเรียนคนละมหาวิทยาลัย แต่อยู่ใกล้ๆ กัน) แต่เราเห็นว่าน่าสนใจ เลยหยิบมาอ่านบ้าง แล้วก็พบว่า...สนุกดีนะ

คือหนังสือเรียนอย่างเดียว มันน่าเบื่อมากมาย มันต้องท่องจำ ต้องรู้ว่านักปรัชญาแต่ละคน แต่ละยุค คิดเห็นอย่างใคร ใครอยู่สายไหน โต้เถียงกันยังไง ซึ่งบางอย่างมันเป็นเรื่องเหนือโลก คือเหนือความเข้าใจของตรรกะเราไปแล้ว ด้วยความที่เราเกิดกันคนละยุค ปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ทำให้ข้อมูลทางความคิดของเรากับนักปรัชญาเหล่านั้นมีความแตกต่างกัน การที่เราพยายามจะเข้าใจเขาอย่างลึกซึ้งย่อมเป็นเรื่องยากมาก แต่ถ้าถามว่าเข้าใจสิ่งที่เขาอธิบายไหม ก็พอจะได้อยู่ ในท่ามกลางบรรยากาศการอ่านปรัชญาลึกซึ้งแต่ละเรื่องในหนังสือเรียนที่จืดชืด เรื่องของโซฟีที่เหมือนเป็นการสอนปรัชญาโดยมีตัวละครเข้ามาทำให้การอ่านมีสีสันมากขึ้น น่าติดตามยิ่งขึ้น จึงเป็นตัวช่วยที่ดีมาก

เรื่องของโซฟีคือเรื่องการทำความเข้าใจเกี่ยวกับปรัชญาต่างๆ ผ่านตัวละคร และมีตัวละครลับที่ทำให้เราลุ้นตามไปด้วยว่าตกลงแล้วตัวละครลับนั้นคือใคร ทำให้เรายอมจมตัวเองในโลกที่มีแต่ความน่าเบื่อได้ (สำหรับคนที่ไม่ชอบปรัชญาเลยจริงๆ น่ะนะ) สำหรับเรา เป็นเรื่องราวสนุกสนานมาก ด้วยความที่การเรียนปรัชญาของเราก็ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออะไรมาก เรายังพอมีความชอบอยู่บ้าง ผนวกกับเรื่องราวของโซฟีของเข้าไป ก็ถือว่าโอเคมากๆ เลย ยังแอบคิดอยู่เลยว่า ทำไมมหาวิทยาลัยของเราไม่ให้อ่านหนังสืออย่างนี้บ้างน้า เอิ้กๆ
ตีแตก กลยุทธ์การเล่นหุ้นในภาวะวิกฤต
5
คนเล่นหุ้น หรือคิดจะเล่นหุ้นทุกคน ควรจะได้อ่านหนังสือเล่มนี้
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ตีแตก เล่มนี้เป็นคัมภีร์หุ้นที่ไม่มีวันตาย หรือถึงมีวันตาย (คือเนื้อหาเก่า ล้าสมัย) ก็ไม่ใช่ในเวลาอันใกล้นี้แน่นอน เราไม่แน่ใจว่าปัจจุบันพิมพ์กันไปกี่ครั้งแล้ว และแต่ละครั้งมีการปรับปรุงแก้ไขเนื้อหา อัพเดทอะไรยังไงบ้าง เล่มที่เราอ่านเป็นเล่มที่ตีพิมพ์ออกมานานมากแล้ว แต่เราเพิ่งได้อ่านเมื่อสองปีที่แล้ว ยังรู้สึกว่า เนื้อหาไม่เก่าเลย สามารถเอามาใช้ได้จริงๆ ทำให้ผู้เริ่มต้นอย่างเราเห็นภาพได้ชัดเจน เห็นแนวทางของตัวเอง แนวทางที่จะเล่นหุ้นให้ไม่เสี่ยงมากเกินไป ให้หุ้นไม่เหมือนหวย

บางสถานการณ์ในหนังสือเล่มนี้อาจจะเก่าไปแล้ว เพราะเกิดขึ้นนานมาแล้ว แต่ความเก่านั้นเป็นแค่สถานการณ์ตัวอย่าง ไม่ได้กระทบต่อเนื้อหาหลักหรือประเด็นที่เทพแห่งเซียนคนนี้กล่าวถึงเลย เพราะเขาเอ่ยถึงหลักการ วิเคราะห์อะไรยังไง ดูตรงไหน คาดคะเนสถานการณ์ และบ่มเพาะนิสัยตัวเองยังไงให้สามารถประสบความสำเร็จได้ คือเขาไม่ได้ให้ปลาเรา ปลาที่อาจจะเน่าเสียได้ แต่เขากำลังให้เครื่องมือหาปลาแก่เรา กำลังสอนวิธีจับปลา ที่เราสามารถเอาไปใช้ได้จนวันตาย อยากกินปลาอะไร ปลาเล็กปลาใหญ่ เราสามารถออกแบบเองได้ ลงมือทำเองได้ เรามีเครื่องมือ มี Knowhow แล้วนี่นา เหล่านี้คือคุณงามความดีของหนังสือเล่มนี้ เราพับไว้หลายหน้าเลยทีเดียว เครื่องมือสำคัญๆ ทั้งนั้น

จนถึงทุกวันนี้ ดร.นิเวศน์ ก็ยังเป็นที่หนึ่งในใจเราสำหรับเรื่องหุ้น แม้จะมีนักเล่นหุ้นหน้าใหม่ๆ เกิดขึ้นมามากมาย แต่เราก็ยังรู้สึกว่า พูดถึงเจ้าพ่อวีไอ (Value Investor) คนที่ทำให้การเล่นหุ้นแตกต่างจากการเล่นหวย ไม่ได้ใช้แค่โชคช่วย แต่ใช้ความสามารถจริงๆ ใช้เวลา ให้เวลากับมัน ฝึกฝนจนคาดเดาสถานการณ์ได้ เราว่าเราก็ยังนึกถึงเขาเสมอ

คนเล่นหุ้น หรือคิดจะเล่นหุ้นทุกคน ควรจะได้อ่านหนังสือเล่มนี้
แอนิมอล ฟาร์ม สงครามกบฎของสรรพสัตว์
5
ใช่เลย ประมาณนี้เลย สังคมเรา กับแอนิมอล ฟาร์ม ไม่ได้ต่างกันเลย
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

แอนิมอล ฟาร์ม ของ จอร์จ ออร์เวลล์ เล่มนี้ขึ้นชื่อลือชาและมักถูกนำมาเปรียบเปรยเสมอในยามที่บ้านเมืองไม่ปกติ แบบว่า อย่างที่รู้ๆ กันน่ะนะ กลโกง เกมการเมืองมันแค่ฉากบังหน้า เบื้องหลังมีอะไรๆ มากมายที่เราไม่รู้ แต่เหมือนเล่มนี้จะบอกเราเป็นนัยๆ อย่างน้อย นัยหนึ่งนั้นคือ เราไม่ใช่ประเทศเดียวที่เป็น วะฮ่าฮ่า และขึ้นชื่อว่านักการเมือง รูปแบบวิธีการ ล้วนเพื่อจุดมุ่งหมายเดียวกัน

เรื่องนี้เปรียบเทียบสังคมมนุษย์ด้วยสังคมสัตว์ มีชนชั้นปกครองที่ชาญฉลาด เจ้าเล่ห์เพทุบาย มีชนชั้นประชาชนที่ทำตามคำสั่ง แต่ก็แอบตั้งคำถาม มีชนชั้นประชาชนที่ตะบี้ตะบันทำตามคำสั่งนโยบายโดยไม่ตั้งคำถาม และก็มีชนชั้นที่ไม่ทำอะไรเลย รอส่วนแบ่งอย่างเดียว

สัตว์ต่างๆ ที่เป็นตัวเอกแต่ละตัวถูกจัดให้เป็นตัวแทนของผู้คนที่มีบทบาทต่างกัน หมูที่เป็นผู้นำเจ้าเล่ห์ หักหลังกันเอง หักหลังประชาชน โกหกปลิ้นปล้อน ขโมยความคิดกัน ทำอะไรๆ เอาน่า และทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาอำนาจของตัวเองไว้ โดยที่เมื่อมีอำนาจอยู่ในมือ ก็ไม่เห็นหัวประชาชนอีกต่อไป มีหมา (ดุ) ที่เป็นสุนัขรับใช้ มีม้าอึดถึกที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำ สร้างผลประโยชน์ให้ชนชั้นปกครอง ถูกหลอกโดยใช้ถ้อยคำสวยหรูไปวันๆ และพบจุดจบอันเศร้าสลดยิ่ง และมีสมาชิกของฟาร์มเป็นสัตว์ประเภทอื่นๆ เพื่อเติมเต็มองค์ประกอบของสังคมได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์

อ่านไปแล้วบางฉากจะอมยิ้ม เพราะมันกระแทกใจ เฮ้ย มันใช่เลยอ่ะ มันคืออย่างงี้เลย ถ้อยคำอย่างงี้เด๊ะๆ เหตุการณ์อย่างนี้เป๊ะๆ บางฉากก็ทำให้เราเศร้า บางฉากทำให้เราส่ายหัว และบางฉากทำให้เราแสยะยิ้ม หึหึ
เรื่องเล่าของคนบันทึกเรื่องเล่า (150.-)
4
ชอบที่สุดคือการสื่อสารทางอารมณ์ และการได้ขบคิดอะไรบางอย่างหลังอ่านจบแต่ละเรื่อง
โดย: อ้วนแกะ วันที่เขียนรีวิว: 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เรื่องเล่าของคนบันทึกเรื่องเล่า ที่นักเล่าเรื่องคนหนึ่งเล่าให้เขาฟัง
ชื่อยาวมาก หน้าปกเป็นเอกลักษณ์ของสำนักพิมพ์ เนื้อหาน่าจะถูกคอนักอ่านที่เป็นสายแข็ง เป็นเซียนวรรณกรรม สำหรับเรา เราไม่ใช่เซียนสายนี้ แค่อ่านไปเรื่อยๆ อ่านทุกอย่าง และเรื่องนี้ คนใกล้ตัวเราอ่าน ก็เลยหยิบมาอ่านบ้าง ก็ไม่ผิดหวังนะ

ส่วนตัวเราคิดว่า เสน่ห์ของการอ่านวรรณกรรมไทยสายแข็งเหล่านี้ คืออารมณ์ คือความรู้สึกลึกๆ ที่เราสัมผัสได้ระหว่างบรรทัด เราจะไม่ใช้สปีดรีดดิ้งในการอ่าน ไม่สแกนนิ่ง ไม่สกิมมิ่ง แต่จะค่อยๆ ละเลียดเพื่อซึมซับทุกตัวอักษร เพื่อตีความทั้งตามตัวอักษรและที่สอดแทรกอยู่ในพื้นที่อื่นๆ เราว่ามันเป็นธรรมชาติของการอ่านหนังสือประเภทนี้อยู่แล้ว เล่มนี้ก็เป็นอีกเล่มที่เราต้องอ่านแล้วพัก คืออ่านจบเรื่องหนึ่งก็พักเพื่อทบทวนอะไรบางอย่าง เพื่อปรับอารมณ์ให้นิ่งในระดับหนึ่ง ให้เป็นปกติก่อนค่อยอ่านเรื่องต่อไป ทำไมถึงเป็นแบบนั้น? ก็เพราะมันคือวรรณกรรมที่กระแทกใจ

ก้อนความคิดของแต่ละเรื่องมันหนักหน่วง และอารมณ์ของเรื่อง โดยนักเขียนมืออาชีพก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เขาพาเราดำดิ่งสู่โลกใบใหม่ เหมือนว่าพอเราก้มหน้าจดจ่ออยู่กับตัวหนังสือ กับพอเราเงยหน้าขึ้นมาพบผู้คน ผู้คนกลายเป็นคนแปลกหน้าไปหมด

เรื่องราวแต่ละเรื่อง ไม่มีใครรู้ได้หรอกว่าเป็นเรื่องจริง เรื่องแต่ง เรื่องเล่า หรือเรื่องของเขา (คนเขียน) เอง การตั้งชื่อคือกลยุทธ์ คือเสน่ห์ของการตั้งชื่อ เพื่อจุดประสงค์ในการสร้างมโนภาพให้แก่คนอ่าน ก็เท่านั้น

เรื่องนี้เราชอบที่สุดคือการสื่อสารทางอารมณ์ และการได้ขบคิดอะไรบางอย่างหลังอ่านจบแต่ละเรื่อง มีเสน่ห์ล้ำลึก ออกจะขมหน่อยๆ แต่ก็อร่อยดี
www.batorastore.com © 2024